Saturday, September 11, 2010

2010 นวลิสซิ่งชูกลยุทธ์ “ยักษ์เล็ก”



Posted on Wednesday, January 06, 2010
แม้ บมจ.นวลิสซิ่ง (NVL) จะผ่านปี “ปราบเซียน” มาได้แบบประคับประคองให้อยู่รอด แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งแล้ว พวกเขามั่นใจว่าตัวเองเป็นหนึ่งในไม่กี่รายที่ยังอยู่รอดโดยตัวเลขไม่ติดลบ และในปีนี้ ถือเป็นปีทองที่จะเติบใหญ่อย่างชัดเจน

“ปี 2551 พวกเรายังพอมีรายได้ประคับประคองตัว ส่วนปีที่แล้วพูดได้ว่าโดนแบบเต็มๆ ดังนั้นจึงมีการระมัดระวังตัวกันอย่างสูงสุด ผมยึดคติว่าแม้จะไม่โตแต่ต้องไม่ตาย ปีที่ผ่านมาจึงชะลอการปล่อยสินเชื่อ ลดต้นทุนทางธุรกิจ ใช้นโยบายเข้มงวดในการบริหารหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการเร่งติดตาม เรียกทรัพย์กลับคืนจากลูกหนี้ เมื่อถึงที่สุดเราก็ต้องยอมตัดอวัยวะบางส่วนทิ้ง เช่น ปิดสาขาเพื่อรักษาอวัยวะหลักไว้ นี่คือการทำงานภายใต้ความกดดันทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้พวกเราอยู่รอดมาได้” รัตนชัย นันทปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.นวลิสซิ่ง กล่าว

จังหวะที่เศรษฐกิจ ตกต่ำและยอดซื้อตก รัตนชัยมองว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการกลับมาปรับปรุงหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้องค์กรฟิตที่สุด พร้อมกับการหา Business Model ใหม่เพื่อปรับวิธีการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์บนแนวคิดหลักคือ “ความรวดเร็ว” ซึ่งข้อดีของการเป็นค่ายลิสซิ่งขนาดเล็กทำให้บมจ.นวลิสซิ่ง มีความคล่องตัวสูงและทำให้ “สอบผ่าน” บททดสอบรอบนี้มาได้

“การ ประเมินว่าลิสซิ่งใดจะอยู่รอดได้ดี ต้องดูที่การเป็นองค์กรขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพ และต้องมีตัวเลขหนี้เสียระดับต่ำ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีหนี้เสียอยู่ราว 6% จากระดับปกติ 4% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ส่วนการบริหารงานภายในผมเน้นการเปิดใจและทำความเข้าใจ ซึ่งผมคุยกับพนักงานว่าแนวโน้มไม่ค่อยดีนักและทุกคนต้องทำใจว่าอะไรที่เคย ได้ก็อาจจะไม่ได้ เช่น การขึ้นเงินเดือน โบนัส แม้แต่สวัสดิการบางอย่าง แต่พนักงานทุกคนเข้าใจและเต็มใจที่จะเอาองค์กรเป็นที่ตั้ง นี่คือจุดแข็งของพวกเรา” รัตนชัย กล่าว

สำหรับปีนี้ การอัดฉีดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างหนักเริ่มส่งผลให้เกิดการลงทุน ของภาคเอกชนโดยเฉพาะในต่างจังหวัดซึ่งเริ่มมีกำลังซื้อรถยนต์เพื่อใช้งานใน ภาคการผลิตและขนส่งกลับมาแล้ว ซึ่งรัตนชัยเห็นว่าเมื่อมียอดการสั่งซื้อรถยนต์ก็จะเป็นผลดีต่อธุรกิจของ นวลิสซิ่งซึ่งจับตลาดรถยนต์จำนำ และรถยนต์มือสองโดยตรง อย่างไรก็ตามการแข่งขันของธุรกิจลิสซิ่งจะต้องมาตัดสินกันที่อัตราดอกเบี้ย คุณภาพของบริการ รวมถึงความเข้มแข็งของแบรนด์ที่จะเป็นตัวการันตีความน่าเชื่อถือให้กับ ลูกค้า

“แบรนด์ การบริการและประสบการณ์ของบมจ.นวลิสซิ่งไม่เป็นรองใคร แต่พวกเราไม่สามารถแข่งเรื่องอัตราดอกเบี้ยได้ เพราะต้องกู้เงินมาจากแบงก์ พูดง่ายๆ ไปกู้เงินคู่แข่งมาอีกที นี่คือที่มาของการแสวงหาพันธมิตรเข้ามาร่วมงาน”

รัตนชัยกล่าวว่าผล งานปีที่ผ่านมาของบริษัทเข้าตาสถาบันการเงินหลายแห่งที่มีเงินทุนแต่ยังขาด ความชำนาญ หลายแห่งจึงให้ความสนใจปล่อยกู้กับบริษัทซึ่งคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ในเร็วๆ นี้ ในอีกด้านบริษัทยังมุ่งสร้างความร่วมมือกับกลุ่มพ่อค้ารถยนต์มือสอง และกลุ่มเอเยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญและน่าเชื่อถือเช่นค่ายรถยนต์มีชื่อ รวมถึงกลุ่มธุรกิจการประมูลที่บริษัทกำลังอยู่ระหว่างเจรจาบนความร่วมมือแบบ win-win

โดยทั้งหมดจะถูกนำเสนอผ่านกลยุทธ์การตลาดด้วยแนวคิด “18 ปี” ที่สะท้อนถึงประสบการณ์และมีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะใน 2 พื้นที่หลักคือ ภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งรัฐเทงบประมาณไปมหาศาลและมีดีมานด์หรือแนวโน้มความต้องการใช้ลิ สซิ่งรถยนต์ชัดเจน

รัตนชัย กล่าวว่าความท้าทายในปีนี้ คือ ต้องหา Distribution หรือพันธมิตรที่มี Distribution บนต้นทุนที่เหมาะสมซึ่งจะทำให้แข่งขันกับค่ายลิสซิ่งรายใหญ่ได้แบบไม่เสีย เปรียบ เช่นเดียวกับการอาศัยจังหวะทำตลาดแบบตามน้ำแทนที่จะเสียเงินไปกับการซื้อ เวลาโฆษณาในทีวี รวมถึงการตัดหน้าบุกพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพสูงที่ รายใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ

นี่คือโอกาสของ “ยักษ์เล็ก” อย่างบมจ.นวลิสซิ่งที่รัตนชัยหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้เห็นตัวเลขการเติบ โตของยอดขายไม่น้อยกว่า 50% ในปีนี้

จากคอลัมน์ Corporate Strategy โดย จิราพร เพ็งจันทร์ นิตยสาร M&W มกราคม 2553
http://www.moneychannel.co.th/MoneyChannel/CompanyFocus/tabid/56/newsid479/105532/Default.aspx

No comments:

Post a Comment